วันเสาร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2551

๑๑.แผลกดทับ!!! เพื่อนสนิทคู่กาย และฆาตกร สำหรับคนพิการ

เผอิญตอนนี้ มีอาการเหมือนจะเกิดแผลกดทับอีกครั้ง(เริ่มมีรอยแดงที่ก้น เพราะไปนั่งติดๆ กันมา ๒-๓ วัน) เลยขอเล่าเรื่องนี้ก่อนแล้วกันครับ

ถ้าได้อ่านตั้งแต่บทแรกๆ จะเห็นว่าผมประสบอุบัติเหตจนพิการ ปี ๒๕๒๙ ก่อนที่จะออกจากรพ. ผมและครอบครัว ได้รับคำแนะนำว่า ต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันแผลกดทับให้มากๆ

แต่ตอนนั้นพวกเราก็ไม่เข้าใจว่า เจ้า "แผลกดทับ" มันร้ายกาจขนาดไหน.... จนมันเกือบฆ่าผมไปแล้วเมื่อปี ๒๕๓๖

ทุกวันนี้ เจ้าเพื่อนตัวร้าย มันยังคอยมาเยี่ยมเยือนก้นผมอยู่เป็นระยะๆ ที่ประมาท
ก่อนกลับมาอยู่บ้าน หมอ ได้แนะนำวิธีป้องกันไว้ ดังนี้


๑.พลิกตัวบนเตียง โดยให้สลับไปมาซ้าย-ขวา ทุก ๒ ชั่วโมง เพื่อไม่ให้น้ำหนักตัวกดอยู่ที่เดียวนานเกินไป

๒.อย่าให้ร่างกายเปียกชื้น ถ้า ถ่ายหนักเบา เลอะเทอะ ให้รีบทำความสะอาดให้แห้งโดยเร็ว

๓.หาแผ่นรองป้องกันแผลกดทับ มารองตรงจุดที่มีเสี่ยงสู เช่น ก้นกบ สะโพก ส้นเท้า (จุดสีเข้ม ในรูป)

ในช่วงปีแรกๆ พ่อ แม่ และอาม่า ซึ่งเป็นผู้ดูแลผมในช่วงปีแรกๆ ก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จึงยังไม่เกิดปัญหานี้เลย

ประมาณปี ๓๓ ผมเริ่มเป็นแผลกดทับ ครั้งแรก.... เนื่องจาก ถูกชักชวนให้ไปรักษา กับคนทรงเจ้าคนหนึ่งแถว สมุทรปราการ (เรื่องความพยายามรักษาความพิการด้วยวิธีต่างๆ ก็น่าสนใจมาก ไว้จะเล่าให้ฟังครับ)

ตอนที่ไปอยู่ที่บ้านเช่าข้างบ้านคนทรง เขาให้นอนกับพื้น เพื่อรักษาโดยการบีบนวด แล้วห้ามใช้แผ่นเจลกันแผลกดทับ รองนอนโดยเด็ดขาด(เขาบอก มันเย็นทำให้การรักษาของเขาไม่ได้ผล)

จึงได้แค่พลิกตัวไปมาบนที่นอนเท่านั้น อยู่ได้แค่ ๒ สัปดาห์ ก็เกิดรอยแผลถลอกเล็กๆ ที่สะโพกด้านหนึ่ง หลังจากยอมรักษาตัวอยู่ที่นั่น ประมาณ ๑ เดือน ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลย...... จึงขอให้พ่อพากลับบ้าน พร้อมของแถมกลับมา คือ แผลเล็กๆที่ก้น..... พ่อดูแล้วบอกว่า แผลแค่นี้ เรื่องชิวๆ จากนั้น ก็พยายามรักษาด้วยวิธีต่างๆ

เริ่มจากทำเหมือน กับคนทั่วๆ ไป เวลาเป็นแผล คือ ล้างแผล ใส่ยาที่ซื้อจากร้าน แล้วปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ แต่พอนานเข้าๆ เห็นมันไม่หายก็เปลี่ยนวิธีไปเรื่อยๆ ใช้ว่านหางจระเข้บ้าง ผงวิเศษตราร่มชูชีพบ้าง ใครบอกว่าอะไรดี ก็หามาลอง


แต่มันก็ไม่หายซักที กลับขยายใหญ่ขึ้นๆ จนเต็มก้นภายในเวลา ๓ ปี จนเริ่มเน่า เห็นถึงกระดูกเลย ที่เป็นแบบนี้ เนื่องมาจากหลายสาเหตุ

๑.ตัวผมเองต้องอยู่ในห้องคนเดียว ไม่มีใครช่วยพลิกตัวตรงตามเวลา

๒. อดอาหารจนผอมซูบ ไม่มีเนื้อช่วยรองรับน้ำหนักในจุดที่เป็นปุ่มกระดูก

๓.ปล่อยให้แผลโดนน้ำปัสสาวะที่หกเลอะผ้าปูเตียง ไม่เรียกใครมาเปลี่ยน (ตรงนี้มาจากความเกรงใจ ซึ่งคนพิการมักเป็นทุกคน)

๔.ประมาท ไม่คิดว่ามันจะเป็นอันตรายขนาดนี้

๕.การทำแผลไม่ถูกหลักอนามัย

แผลกดทับ เป็นอันตรายมากต่อคนพิการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มอัมพาตจากการบาดเจ็บไขสันหลัง เพราะจะไม่รู้สึกเจ็บเมื่อเริ่มเป็น หรือบางคนไม่สามารถขยับตัวเองได้

เนื่องจากหน้าที่การงาน ทำให้ได้มีโอกาสรู้จักกับคนพิการหลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มไขสันหลัง ทุกคนจะเคยพบกับปัญหานี้ บางคนก็รักษาจนหาย แต่ก็ต้องคอยระมัดระวังอย่างมาก เพื่อไม่ให้กลับมาเป็นอีก

บางคนก็ยังเป็นอยู่ แต่โดยหน้าที่การงานจึงจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่กับแผล กลายเป็นภาระติดก้นตลอดเวลา ยังมีที่โชคร้ายยิ่งกว่า ผมเคยพาคนพิการคนนึงไปหาหมอ เพราะแผลกินเนื้อตรงสะโพกเข้าไปถึงกระดูกต้นขา ทำให้ขาขวาแทบหลุดออกจากตัว ติดแค่เนื้อส่วนหนึ่งของขาเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นาน.... คนนี้ก็เสียชีวิตจากการติดเชื้อเข้ากระแสเลือด

ส่วนตัวผมเอง เมื่อปี๓๖ ก็ถูกแผลกดทับเล่นงานจนแย่เหมือนกัน หลังจากเริ่มเป็นวันแรก จนปีที่ ๓ มันลุกลาม ใหญ่จนเกือบเต็มพื้นที่ก้น ที่หนักกว่านั้นคือ มันมีกลิ่นเน่าเหมือนหนูตายเลย....! นี่คือสัญญาณอันตรายอย่างหนึ่งว่าแผลกำลังเข้าขั้นวิกฤติแล้ว.......

บทต่อไป จะพูดถึงวิธีการรักษา และป้องกัน เท่าที่เคยประสบมาครับ

5 ความคิดเห็น:

  1. ผมก็เคยเป็นตอนเดือนแรกๆเลย ต้องไปผ่าตัดที่กทม.โดยดึงเอาหนังข้างๆแผลมาปะ แล้วทำความสะอาดแผลอีกเดือนจึงหายขาด หมดไปหลายหมื่นเลยละ
    จาก แหลม อุบลฯ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ10 มีนาคม 2551 เวลา 07:55

    โหได้อ่านแล้ว เพิ่งรุ้ว่าแผลกดทับมันน่ากัวขนาดนี้เชียว เขียนซะเห็นภาพเชียว รู้สึกขยาดและกัวเลยอ่ะ บทนี้เขียนได้นะ รู้สึกจะไม่มีคำผิดเลยอ่ะ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ10 มีนาคม 2551 เวลา 07:57

    โหได้อ่านแล้ว เพิ่งรุ้ว่าแผลกดทับมันน่ากัวขนาดนี้เชียว เขียนซะเห็นภาพเชียว รู้สึกขยาดและกัวเลยอ่ะ บทนี้เขียนได้นะ รู้สึกจะไม่มีคำผิดเลยอ่ะ


    หมายเหตุ เขียนได้ดีนะ พิมพ์คำว่า ดี ตกไปค่ะ ว่าแต่คนอื่นเค้าเปงซะเองเรา555

    ตอบลบ
  4. ครับ เป็นพยานได้เรื่องแผลกดทับ และยังเป็นพยานบุคคลในที่เกิดเหตุอีกด้วย ทั้ง 2 วันจาก 3 วันครับ

    รีบพักให้หายนะครับ

    ขอบคุณที่ เอาเว็บบล็อกผมมาวางไว้ด้วยคครับ

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ13 มกราคม 2554 เวลา 21:09

    เคล็ดไม่ลับ ที่ต้องทำทั้งที่ไม่อยากใส่แต่ต้องใส่คือสายสวนเพราะจะช่วยให้ผิวสัมผัสส่วนก้นไม่เปียก และอับชื้นประสิทธิภาพมีดีกว่าใส่แพมเพิสที่ราคาก็แพง และเปลือง แถมทำให้เป็นแผลกดทับได้ง่าย เพราะมีประสบการณ์มาแล้ว

    ตอบลบ